เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ก.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม “ธรรมะเป็นอาหารของใจ” ถ้าใจมีธรรมนะ เราจะมีหลักมีเกณฑ์ แต่ถ้าใจเราไม่มีธรรม เวลาคนเสีย เด็กของเราเสีย นิสัยเสีย ถ้านิสัยเสียไป ดูสิ เด็กใจแตก มันเป็นเรื่องของใจทั้งนั้น ถ้าเด็กของเราหัวใจดี หัวใจมั่นคง มันเป็นได้ ๒ ประเด็น

ประเด็นหนึ่ง คือ อำนาจวาสนาบารมีของเขา ถ้าธรรมจะบอกว่าจริตนิสัย เขาสร้างของเขามาดี ถ้าเขาสร้างของเขามาดี เวลาเขาเจอเหตุการณ์ที่วิกฤต ดูอย่างทางโลกก็จะบอกว่าเพราะสภาพแวดล้อมทำให้คนเสีย ใช่! มันมีส่วนสำหรับจิตใจของคนที่ไม่เข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง..

ในสมัยพุทธกาล มีนกแขกเต้า ๒ ตัว ตัวหนึ่งเวลาเกิดมาไปตกอยู่กับโจร โจรจะสอนอย่างไร เขาก็เป็นนกที่ดีได้ นั่นพูดถึงว่าจิตใจของเขาดี แต่ถ้าอีกตัวหนึ่งไปตกอยู่ในสิ่งที่ดีขนาดไหน ถ้าเขาจะเก๊ เขาก็เก๊ของเขา นั่นพูดถึงอาหารของใจนะ มันเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่ง คือ จริตนิสัยของเขา อีกประเด็นหนึ่งก็คือสภาวะการสั่งสอนของเรา

การอบรม การสั่งสอนนี้ทำให้คนดีได้ เพราะฉะนั้นเป็นคนดีได้ด้วยการฝึกฝน แต่การสั่งสอนการฝึกฝน ถ้าจริตนิสัยและสิ่งที่ตรงกัน สิ่งนั้นก็จะเห็นว่าเป็นคุณงามความดีไปหมดเลย แต่ถ้าสิ่งที่มันขัดแย้งกัน ขัดแย้งเพราะเป็นเรื่องกรรมเก่า-กรรมใหม่ กรรมเก่าของเรามีนะ สิ่งที่เราเกิดขึ้นมานี้เกิดมาจากกรรม

เวลาที่มนุษย์เกิดมา ดูสิ จิตนี้ไม่มีการเว้นวรรค จิตนี้ต้องเกิดตลอดเวลา มันจะหมุนไปตามวัฏฏะ แต่มันจะไปตกลงที่ไหนล่ะ การไปตกลงนะมันเป็นผลบุญผลกรรม สิ่งที่เป็นผลของวัฏฏะที่เกิดขึ้นมานี้ มันเป็นเรื่องของบุญของกรรม

แต่เรื่องปัจจุบันเราเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆ ในเมื่อเกิดขึ้นมาในครอบครัวของเรา เกิดมาเป็นลูกเป็นหลานของเรา เกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตมานะ ชีวิตนี้เราได้มาจากแม่ เวลาเราอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน เวลาคลอดออกมา สมัยก่อนเลี้ยงด้วยน้ำนมแม่ เพราะน้ำนมแม่ก็ได้โอบ ได้กอด ได้รับความอบอุ่น ได้กินน้ำนมแม่ คือ ได้กินเลือดในอก ได้รับความอบอุ่นจากพ่อจากแม่มา สิ่งนี้มันมีความอบอุ่น

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ในบ้านของลูก ถ้าเราตอบแทนบุญคุณด้วยการหาปัจจัยเครื่องอาศัย เราเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นความกตัญญูกตเวทีทางโลก แต่ถ้าเป็นทางธรรมจะให้เป็นการกตัญญูกตเวที เราก็ตอบสนอง สิ่งที่เราตอบสนอง เราก็จะเห็นได้ แต่สิ่งที่เราตอบสนองด้วยการชักนำ ด้วยการดูแล เลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ แล้วสิ่งที่ว่าเราตอบแทนบุญคุณ สิ่งนั้นคืออะไร มันคือทำดี มันคือการกระทำ มันก็คือกรรมดี

เราทำคุณงามความดี ในเนื้อหาสาระมันเป็นคุณงามความดีอีกแล้ว แต่ในการกระทำของเรา มันก็เป็นคุณงามความดีของเราด้วย แล้วมันเป็นบุญกุศลของเราด้วย สิ่งที่เป็นบุญกุศล เห็นไหม ยิงปืนนัดเดียวได้นก ๓-๔ ตัว แต่เวลาบางคนที่ไม่เข้าใจ จิตใจไม่เข้มแข็งมันจะอ่อนแอ พอจิตมันอ่อนแอ มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งนั้นก็เป็นภาระ สิ่งนี้ก็เป็นภาระ

ถ้าเป็นภาระ มันก็เป็นภาระทั้งนั้น เวลาเราหายใจนี้ก็เป็นภาระ เวลาหายใจเข้าและหายใจออก แต่ถ้าหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า เราก็ตาย สิ่งที่เราดำรงชีวิตด้วยอาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย พระก็ต้องมีปัจจัย ๔ ด้วยเหมือนกัน ปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้เพื่อแสวงหา เพื่อทำให้จิตใจนี้มันพ้นจากกิเลส พ้นจาการครอบงำ

จิตใจเราโดนครอบงำด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ในตัวของมันเอง ดูสิ พลังงานที่มันมีความร้อน มันจะคลายตัวตลอดเวลา จิตเป็นธาตุรู้ที่มันคลายตัวตลอดเวลา ที่มันไม่รู้สึกตัวมันเอง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งสติ แล้วทำความสงบของใจเข้ามา พอจิตสงบเข้ามานี้ มันจะรู้ด้วยตัวของมันเอง ถ้ารู้ตัวมันเอง มันจะไปแก้ไขตัวของมันเอง การแก้ไขตัวของมันเองนี้ จะเอาอะไรไปแก้ไข

ในปัจจุบันนี้ การแก้ไขก็ นั่นก็สักแต่ว่า ไม่ต้องทำสิ่งใดเลยก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้นะภูเขาเลากามันก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุที่ตั้งอยู่นี้ มันจะไปทำความเดือดร้อนให้ใคร

ดูสิ น้ำให้คุณประโยชน์กับเขาทั้งนั้น มันเป็นธาตุอันหนึ่ง ถ้ามันอยู่เฉยๆ แล้วเป็นพระอรหันต์นะ ไม่ต้องรู้สิ่งใดเลยเป็นพระอรหันต์นะ ธาตุมันก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ธาตุ ๔ มันเป็นพระอรหันต์ได้ทั้งหมด แต่ธาตุมันเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะธาตุไม่มีความรู้สึก ไม่มีการกระทำ ไม่มีสภาวะ มันเป็นสสารหนึ่งที่มันแปรสภาพมาเป็นอีกสสารหนึ่ง ที่เปลี่ยนของมันไป มันเป็นอนิจจัง

สิ่งนี้เป็นบุคคลาธิษฐานนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านก็เอารูปธรรมมาชี้นำพวกเรา ให้เราย้อนกลับมา ดูหนังดูละครแล้วย้อนกลับมาดูตัว

สิ่งนี้แปรสภาพจากภายนอก แต่สิ่งที่แปรสภาพจากภายใน หัวใจที่แปรสภาพ อารมณ์ความรู้สึกที่มันแปรสภาพอยู่นี้ แล้วมันแปรสภาพอยู่บนอะไร สิ่งต่างๆ เป็นผลของวัฏฏะ เราเกิดในโลก เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มีสถานะ ที่มีภพ มีชาติ มีที่อาศัยนะ

ความคิดนี้มันเกิดบนอะไร สิ่งที่รองรับความคิดไว้ ดูสิ กรรมเก่า ที่มันเบียดเบียนหัวใจของเรามา กรรมเก่าของแต่ละบุคคล มันบีบคั้นหัวใจมา ถ้ากรรมเก่าที่เป็นเวรเป็นกรรม มันจะเอาแต่ความทุกข์ยากมาให้ แต่ถ้าเป็นบุญกุศลมันก็เป็นความคิดเหมือนกัน นี่กรรมดี มันก็ส่งเสริมเชิดชูความรู้สึกความคิดของเรานี่แหละ

มีคนมากถามว่า “เกิดมาทำไม.. เกิดมาเพื่ออะไร..” เห็นสังคมโลกเขาดีดดิ้นกันไป แล้วมันเกิดธรรมสังเวช มันหดตัวเข้ามา

สิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ความรู้สึกนะ ความสุข ความทุกข์ในหัวใจของเรานี้มีค่าที่สุด ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นแค่เครื่องอาศัยดำรงชีวิตนะ เราไปตื่นเต้นกับสิ่งที่ดำรงชีวิต แต่เราไม่มองชีวิต เราไปตื่นเต้นกับสิ่งที่ดำรงชีวิต แต่ชีวิตของเราล่ะ เพราะมันมีสิ่งนั้นเราถึงดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะมีปัจจัยเครื่องอาศัย มันถึงดำรงชีวิตของมันอยู่ แล้วเราไปตื่นเต้นกับสิ่งที่ดำรงชีวิต แล้วเรามองข้ามชีวิตเราไป มองข้ามหัวใจและความรู้สึกเราไป

นี่ไง ถึงบอกว่า ไม่รับรู้สิ่งใดเลย มันเป็นสสาร มันเป็นสักแต่ว่า ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า เราไม่รับรู้มันก็จบ ไม่รับรู้มันก็กลับเข้าสู่สถานะเดิมของเขานะ ธาตุก็กลับสู่สถานะเดิมของเขา

ดูสิ น้ำโดนความร้อนก็เป็นไอ.. เป็นหมอก.. เป็นเมฆ.. แล้วก็ตกกลับมา.. มันก็วนของมัน แล้วนี่ก็เหมือนกัน สรรพสิ่งมันก็วนไปตามสภาวะของมัน แล้วมันเป็นอะไรล่ะ มันเหลืออะไร แล้วมันทำอะไร นี่ไงมันถึงว่าเป็นโลก โลกียปัญญา ปัญญาของโลก เอาโลก เอาตรรกะมาจับพระพุทธศาสนา เอาตรรกะมาศึกษาธรรมะ มันก็ได้เรื่องโลกๆ

แต่ถ้าเอาความจริงล่ะ เห็นไหม “ธรรมะ ! ธรรมเหนือโลก” เหนือโลกเพราะอะไร สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นไป มันเป็นธรรมชาติของโลก เราถึงว่าธรรมะเหนือธรรมชาติไง เพราะธรรมชาติมันก็แปรปรวน แล้วธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็แปรปรวนของมัน แปรปรวนแล้วมันได้อะไร ถ้าแปรปรวนนะ เราก็ศึกษา เราก็เข้าใจหมดแล้ว เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญ เราเข้าใจแล้วไม่ตื่นเต้นสิ่งใดเลย

คนโบราณ เวลาฝนตกฟ้าร้อง เขาต้องกราบไหว้บูชาไฟบูชาภูเขา เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีที่พึ่ง คนเราไม่มีที่พึ่งเพราะอะไร เดี๋ยวนี้เกิดมาเราพบพุทธศาสนา มีศาสนาเป็นที่พึ่ง ธรรมะ สัจธรรม มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง แล้วเรามีอะไร ถ้าเรามีอะไร แล้วเราย้อนกลับมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก “มองดูโลกนี้เป็นความว่าง มันทะลุภูเขานะ” เราเคยมองแล้วสายตาของเราเคยทะลุภูเขาไปไหม เคยทะลุสิ่งที่เป็นวัตถุที่ขวางสายตาเราไหม แต่เวลาจิตมันลงนะ มันทะลุไปหมด.. ทะลุไปหมด.. มันก็ยังมีความมหัศจรรย์ มีความวิเศษในตัวมันเอง

เห็นไหม “เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง” ที่เป็นสักแต่ว่า.. สักแต่ว่า..นี่ โลกนี้เป็นสักแต่ว่า แล้วกลับมาถอนไอ้คนเห็น ไอ้ผู้รู้สักแต่ว่า ไอ้คนที่รู้สักแต่ว่าเป็นใคร นู้นมันสักแต่ว่าเห็นไหม แล้วแม่น้ำก็ไหลไปตามธรรมชาติตามทางของมัน น้ำต้นน้ำมันก็ไหลลงทะเลไป แล้วเราก็รู้แล้ว มันก็สักแต่ว่า อ้าว ! แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ.. ก็เป็นทุกข์อยู่นี่ไง

แต่ถ้าเป็นธรรมะ ถ้าธรรมเหนือโลก สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ กุศล.. อกุศล เวลาว่าเป็นกุศล เป็นบุญกุศลเราก็อยากได้ เราก็แสวงหา อกุศลความชั่วเราก็ไม่ต้องการ อกุศลก็เป็นธรรมชาติ เพียงแต่เหรียญมันมี ๒ ด้าน มันจะพลิกไปชั่ว หรือพลิกไปดีเท่านั้นล่ะ

ใจของเราเห็นไหม อุเบกขาเป็นธรรม.. อุเบกขาเป็นธรรม.. สักแต่ว่าเป็นธรรม.. เป็นธรรม.. เดี๋ยวมันจะเอียง เดี๋ยวมันจะไปตามความพอใจของตัว แล้วเราจะถอดถอนมันอย่างไร เราจะทำลายไอ้ตัวนี้อย่างไร นี่ไง ที่ว่ามันเหนือจากความคาดหมาย เหนือจากความรู้สึก เหนือจากความนึกคิด เหนือจากตรรกะ เหนือจากความรู้ทั้งหมด มันถึงเป็นโลกุตตรปัญญา

ถ้าโลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุขนะ แล้ววางธรรมและวินัยไว้ให้เราได้ก้าวเดิน ให้เราได้ทำตาม พอทำตาม..แล้วมันไม่ทำตาม.. มันจำตาม.. มันเอาความจำอันนั้นมาเป็นสมบัติของมัน แต่มันไม่ได้ทำอะไรเลย มันไม่รู้อะไรเลย

มันเป็นวิชาการทางโลกนะ เวลาเราสอนเด็ก เราก็สอนทางวิชาการ แต่ทางวิชาการเขาศึกษาแล้ว เขาต้องไปทดสอบเป็นภาคปฏิบัติ ให้เป็นผลงานของเขาขึ้นมา

นี่เห็นไหม สาวก สาวกะ ถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎี “อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” นี้เป็นอย่างไร แล้วอะไรเป็นมรรค เดี๋ยวนี้เป็นมรรคนะ สัมมาอาชีวะนะ เราทำไม เราก็เลี้ยงชีพชอบ.. เลี้ยงชีพชอบ หมามันก็เลี้ยงชีพชอบ เขาให้อาหารมันๆ ก็กินตามธรรมชาติของมัน คนให้อาหารหมา หมาก็เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบมันเลี้ยงอย่างไร สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพชอบนี่มันเลี้ยงปาก

แล้วเลี้ยงใจล่ะ เห็นไหม อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด นี่วิญญาณอาหาร อาหารเป็นความรู้สึกของหัวใจ หัวใจมันกินอารมณ์ความรู้สึกนี้เป็นอาหาร หัวใจเฉยๆ เอามันที่ไหน มีกายกับใจ กายกับใจก็จับไปสิ จับไปที่แขน กายกับใจมันอยู่ที่ไหน

แต่ถ้าจิตสงบเข้ามานะ มันตื่นเต้นในตัวมันเอง ดูสิ เด็กเวลาที่มันเก๊ขึ้นมานี่ มันดิ้นรน เวลาอุ้มมัน เราพูดกับมันเข้าใจไหม.. แต่เด็กเวลาที่มันสงบตัวขึ้นมา มันมีความรู้สึกของมัน

“ผิดไหม”

“ผิดค่ะ”

“เสียใจไหม”

“เสียใจค่ะ” แล้วเวลาเก๊ขึ้นมา มันดิ้นรนของมัน มันต่อต้านเพื่อจะเอาตามใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดเห็นไหม อย่างอารมณ์ความรู้สึก เวลาความคิดธรรมชาติคือพลังงาน คือตัวจิตที่ออกมาเสวยอารมณ์ความรู้สึก แล้วถ้ามันปล่อยความรู้สึกแล้วมันไปไหน นี่มันเห็นของมัน มันชัดเจนของมัน

แม้แต่สมาธิ ถ้าคนได้สมาธิ ครูบาอาจารย์ท่านบอก “วุฒิภาวะ” ใจของคนรู้ได้แค่ไหน พูดได้แค่นั้น ถ้าใจของคนบอกว่ามรรคผลนิพพานเข้าใจถึงธรรมะทั้งหมด แต่สมาธิมันยังไม่รู้จัก

ไม่รู้จัก หมายถึงว่า ไม่รู้ว่าจิตสงบเป็นอย่างไร จิตสงบกับจิตไม่สงบต่างกันอย่างไร ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นี่มันเป็นตรรกะ มันเป็นคำพูดที่ใครก็พูดได้ ว่างๆ ว่างๆ น่ะ แต่ว่างๆ น่ะ อารมณ์ความรู้สึกว่างๆ ที่ตัวมันเป็นจิตเป็นอย่างไร

เพราะมันไม่รู้ มันถึงไม่รู้ว่าเด็กที่มันต่อต้าน เด็กที่มันเกเร เด็กที่มันดิ้นรนเป็นอย่างไร เด็กที่มันสงบตัวแล้วมันเป็นอย่างไร จิตที่ออกไปเสวยอารมณ์ จิตที่มันคลุกเคล้าอยู่กับอารมณ์ จิตที่มันมีความรู้สึกอยู่นี่ มันเป็นอย่างไร แล้วจิตที่มันปล่อยอารมณ์เข้ามาเป็นตัวมันเองนี่มันเป็นอย่างไร

ถ้ามันเป็นนะ จะไม่พูดเลยว่าว่างๆ ว่างๆ หรอก ตัวจิตนี่... ธรรมชาติ สิ่งต่างๆ ธรรมะที่ลึกซึ้งในหัวใจเราจะออกมา ดูสิ สมัยพุทธกาลมีคนถามพระพุทธเจ้ามากว่า “นิพพานคืออะไร นิพพานเป็นอย่างไร ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร” พระพุทธเจ้าพูดออกมาเป็นบุคคลาธิษฐาน คือเปรียบเทียบทั้งนั้น นิพพานเป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น..

ที่ออกมานี่ พยายามเปรียบเทียบ เปรียบเทียบจากใคร.. เปรียบเทียบจากคนที่รู้จริง พอเปรียบเทียบกับคนที่รู้จริง เราไปเอาสิ่งที่เปรียบเทียบเป็นวัตถุตัวอย่าง มาเป็นความจริง ว่านิพพานแล้วเป็นอย่างนั้น มันก็ว่ากันไป พูดแต่ปาก เห็นไหม

นี่เหมือนกัน มันรู้สึกได้ ถ้าแม้แต่ความสงบยังไม่เข้าใจ แม้แต่จิตสงบหรือไม่สงบ ยังพูดไม่เป็น ที่พูดมานั้นผิดหมด ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะนั้นเป็นทางวิชาการ ผิดนั้นเพราะเป็นชื่อ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ สงบก็คืออย่างนี้ไง แล้วคนเป็นกับคนเป็นเขาฟังกันเข้าใจ

ถ้าพื้นฐานตรงนี้มีนะ เหมือนกับเรามีสิทธิ มีสัญชาติไทย เรามีสิทธิตามกฎหมายในชาตินี้ ที่กฎหมายรองรับ ถ้าเราไม่ได้สัญชาติไทย เราเข้ามาเป็นบุคคลต่างด้าว เป็นบุคคลต่างชาติ จะไม่มีสิทธิตามกฎหมายนั้น

จิตถ้าไม่มีความสงบของใจ ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีกรรมฐาน มรรคผลไม่มี ! มันจะไปเกิดที่ไหน มันเป็นคนต่างด้าว มันเป็นคนไม่มีสิทธิตามกฎหมายในสัญชาตินั้น จิตที่มันไม่มีความสงบ มันจะเอามรรคผลมาจากไหน ในเมื่อตัวจิตมันไม่มีสถานะ ไม่มีผู้รองรับ มันจะเอามรรคผลมาจากไหน มันจะเอาอะไรมาเป็นสมบัติของมัน ไม่มี !!

แต่ถ้าเรามีสัญชาติไทย ทำผิดหรือทำถูก ก็ลงโทษตามกฎหมาย เพราะเรามีสัญชาติไทย เราอยู่ใต้กฎหมายไทย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันมีมรรคมีผลขึ้นมา มันจะได้รับผลของมัน ถ้าได้รับผลของมันเห็นไหม นี่คือการกระทำนะ

นี่พูดถึงว่า เราจะศึกษาธรรมะด้วยเหตุใด ถ้าเราจะศึกษาธรรมะเพื่อผลประโยชน์ของเรา เราไม่ได้ศึกษาธรรมะเพื่อมาเอาสถานะการยอมรับของโลกเขา เห็นไหม โลกธรรม ๘ ! มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ใครจะสรรเสริญนินทา ใครจะยกย่องเราสุดขอบฟ้าเลยน่ะ แต่หัวใจของเรามันทุกข์ หัวใจของเราสงสัยก็คือสงสัยนะ

ถ้าหัวใจของเรา เราแก้ไขของเรา เขาจะเหยียบย่ำจนจมดินไป เขาจะเหยียบให้จมบาดาลไปเลย หัวใจเราก็ผ่องแผ้ว มันไม่มีสิทธิ มันไม่ใช่การอยู่ที่การยกย่อง หรือการให้ค่าของทางโลกเขาหรอก มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วนี่ ท่านรู้จริงของท่าน ด้วยความเมตตาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ท่านมีเมตตาในหัวใจของท่านมาก” ความเมตตาอันนั้น.. คือพวกเรามันเหมือนคนตาบอด เที่ยวตะครุบเงา แสวงหาสิ่งที่ปรารถนาอยู่ แต่เที่ยวตะครุบแต่สิ่งที่ไม่สมความปรารถนา เวลาคนเขาปิดตาแล้วเล่นกีฬากัน เราเห็นแล้วตลกไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเห็นเราตะครุบ พยายามแสวงหานี่ มันเป็นสิ่งที่เราตะครุบ เหมือนคนตาบอดแสวงหาสิ่งที่เป็นความต้องการ แต่เป็นเหมือนคนตาบอดตะครุบ แล้วคนที่เขาเปิดตา คนที่เขามีหูตาสว่าง เขาเห็นแล้วนี่ นี่ไง ความเมตตามันอยู่ตรงนี้ไง ความเมตตาพยายามจะบอก เห็นไหม ทั้งๆ ที่เราตาบอดนี่แหละ ท่านจะบอกให้ก้าวซ้าย ก้าวขวา หันซ้าย หันขวา เพื่อจะไม่ให้เข้าไม่ไปเจอสิ่งของที่เราปรารถนา

แต่เราก็ดิ้นรนของเรา เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งคนอื่นบอกเรายิ่งงง แต่ถ้าเราเข้าใจ เราพยายามฝึกฝนของเรา ตัวอย่างมันมีนะ ประสบการณ์ของใจมันมี สิ่งที่เป็นประสบการณ์ของเรา กิจจญาณ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปเทศน์กับปัญจวัคคีย์ “ถ้าเราไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ เราจะไม่ปฏิญาณตน” จิตไม่มีการกระทำ สมาธิก็ไม่เป็นสมาธิ หลักของใจก็ไม่รู้จัก แต่มรรคผลนิพพานเป็นหอบๆ เลยนี่ มันเอามาจากไหน.. มันเอามาจากไหน.. มันไม่มีผู้มีสถานะรับรู้ความรู้สึกอันนั้น มันเอามาจากไหน เอามาจากความจำ มันเอามาจากสิ่งที่ฟั่นเฟือน สิ่งที่มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะ เราต้องใจเย็น เราต้องทำตามข้อเท็จจริง จิตมันมีความทุกข์ของมัน เราต้องหาความสงบของมันให้ได้ ถ้ามีความสงบเห็นไหม ภาชนะที่คว่ำอยู่ มันไม่มีสิ่งใดที่จะบรรจุในภาชนะนั้นได้เลย ถ้าภาชนะนั้นหงายขึ้นมา เราเปิดฝามัน แล้วเราบรรจุมัน นี่เราเปิดใจ เราแก้ใจเรา เราทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

สังคม.. โลก.. โลกธรรม.. เขาจะเป็นอย่างไรมันเรื่องของเขา แต่เรื่องของเรา เราต้องเอาตัวเราเองให้รอด ถ้าเราเอาตัวเราให้รอดแล้วนะ ไอ้เรื่องโลกธรรม ๘ เรื่องของสังคม เราจะชี้นำได้เลย แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นเวรเป็นกรรม.. เป็นเวรเป็นกรรมนะ ในเมื่อเวรกรรมเขาสร้างมาอย่างนั้น เขามีความยึดมั่นอย่างนั้น เขาเชื่ออย่างนั้น มันเป็นสายบุญสายกรรม ก็สาธุ..

สาธุ เพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริงอย่างนั้น อุเบกขาไง พรหมวิหาร ๔ ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น เราจะเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นเพชร มันเป็นไปไม่ได้ เพชรก็คือเพชร ! ก้อนหินก็คือก้อนหิน ! เราพยายามปรารถนาอยากให้ก้อนหินเป็นเพชร แล้วเอาก้อนหินมาเก็บสะสมไว้จะให้ก้อนหินเป็นเพชร มันเป็นไปไม่ได้ ! นี่คือหินกับเพชร !!

ความรู้สึกของคน กิเลสของคน มันเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเพชรหรือเป็นหินก็ใจของเขา เราเพียงแต่คอยชี้บอกว่า “จริง” หรือ “ไม่จริง” ถ้าเขาเป็นเพชร เขาเจียระไนของเขา มันก็เป็นเพชร.. ถ้ามันเป็นหิน มันเอามาขัดสีขนาดไหน มันก็เป็นหิน..

นี่คืออุเบกขาไง วางใจไง โลกเขาเป็นอย่างนี้ ไม่แบกโลก ไม่เอาโลกมาเป็นภาระ แต่เป็นผู้มีความเมตตา เป็นผู้ที่ชี้นำ เพื่อประโยชน์กับสังคม เอวัง